ตอนที่ 7 การตรวจพิสูจน์พระผงสมเด็จโตทางวิทยาศาสตร์ (ต่อจากตอนที่ 6 ) - TSTi
Skip to content
ความเดิมจากตอนที่ 4 พระผงสมเด็จโต ทำจากเนื้อผง ที่นิยมในปัจจุบัน มีอยู่ 2 เนื้อ คือ
1 ทำจากเนื้อผงปูนหินดิบจากธรรมชาติหรือผงปูนเปลือกหอยดิบ มีชื่อเรียกว่า แคลเซี่ยมคาร์บอเนต มีสูตรทางเคมี CaCO3 เป็นเนื้อผงหินดิบเป็นหลัก เมื่อได้ผงปูนหินดิบที่บดที่ละเอียดแล้ว ท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี จะนำมวลสารที่ศักดิ์สิทธิ์และวัตถุที่เป็นมงคลต่างๆ มาผสมเข้ากับผงปูนที่เป็นผงปูนหินดิบ ผสมกันเข้า เรียก ของผสมในเนื้อพระผงสมเด็จที่มี่นื้อเป็นผงปูนหินดิบ เนื้อพระจะแกร่งจนเป็นหินอ่อน(รายละเอียดดูในตอนที่ 4 )
2.เนื้อผงปูนหินสุกหรือปูนเปลือกหอยสุก ถ้านำหินปูนดิบหรือเปลือกหอยดิบ CaCO3 มาเผาให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง จะปลดปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ (CO2)ออกมาในอากาศ เมื่อนำหินปูนหรือเปลือกหอยที่เผาแล้วมาบดละเอียด จะได้ผงปูนสุก เรียก ปูนขาว เรียกชื่อทางเคมีว่า แคลเซี่ยมออกไซต์ เขียนสูตรทางเคมีได้ CaO (Calcium Oxide)ผงปูนสุกจะมีสีขาวเมื่อได้ผงปูนบดที่ละเอียดแล้ว ท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี จะนำมวลสารที่ศักดิ์สิทธิ์และวัตถุที่เป็นมงคลต่างๆ มาผสมเข้ากับผงปูนหลัก ที่เป็นผงปูนหินสุก เรียก เนื้อพระผงสมเด็จเนื้อปูนสุก เนื้อพระจะเป็นผงเนื้อละเอียด มีความหนาแน่นมากว่าผงปูนหินดิบ(รายละเอียดดูในตอนที่ 4 )
*การตรวจพิสูจน์พระผงสมเด็จโตทางเคมี และพิสิกส์ ที่สถาบันพระแท้สมเด็จโตประเทศไทย (Thailand Genuine Somdej-Toh Amulet Institute ,TGSAI )
*เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ที่ใช้ในการตรวจพิสูจน์ พระผงสมเด็จโต
1. ตัวประมวลผลคอมพิวเตอร์
2. กล้องส่องเนื้อพระ แบบไมโครสโคป ขนาดกำลังขยายสูง เลนส์ที่เห็นสีชัดเจน
3. นำ้ยาเคมี ใช้ในการตรวจสอบ
4. พระสมเด็จแท้ที่มีความชัดเจนมีอายุทันท่านสมเด็จโต สร้างและปลุกเสก เพื่อเป็นพระตัวอย่าง(พระองค์ครู)เป็นแบบมาตรฐานอ้างอิง
5. กล้องถ่ายภาพ
6. พระสมเด็จองค์ที่จะนำมาตรวจพิสูจน์.
*คุณสมบัติของผู้ที่จะทำการตรวจพิสูจน์ และวิเคราะห์ผลการตรวจ พระผงสมเด็จโตทางวิทยาศาสตร์
1. ต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพระสมเด็จโต
2. ต้องศึกษามีความรู้เรื่องพระสมเด็จ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา การสร้างพระ เนื้อหามวลสารในพระสมเด็จ พุทธศิลป์ พิมพ์ทรงต่างๆ และอื่นๆมาเป็นอย่างดี
3. ต้องเป็นผู้ มีประสบการณ์ ความชำนาญในพระสมเด็จโตมาไม่น้อยกว่า 10 ปีขึ้นไป ( ไม่ใช่บุคคลที่ดูพระสมเด็จมาตามคำบอกเล่า ดูตามจุดที่กำหนด ตั้งตนเป็นผู้รู้ นี่ไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์ มีความชำนาญ )
4. ต้องมีความชื่อสัตย์ชื่อตรง มีคุณธรรม
5. มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
* วีธีการตรวจพิสูจน์ และการวิเคราะห์ผลจากการตรวจพิสูจน์ทางเคมี
1. นำพระสมเด็จที่จะตรวจเข้าวางไว้ในตำแหน่งที่กำหนด
2. หยดนำ้ยาเคมี 1 หยด ลงไปในเนื้อพระสมเด็จ
3. ดูการเกิดฟองที่เนื้อพระ ด้วยกล้องขยายกำลังสูง ฟองที่เกิด คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ มีสูตรทางเคมี CO2 การเกิด CO2 ได้จากการทำปฏิกิริยา ทางเคมี ระหว่าง แคลเชียมคาร์บอเนต ( CaCO3 ) กับ น้ำยาเคมี จะได้ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 )กับ น้ำ สูตรทางเคมี H2O และสารละลาย เขียนเป็นสมการเคมีได้ดังนี้
* CaCO3+น้ำยาเคมี ได้ผล Co2+H2O+สารละลาย
CO2 ที่เป็นฟองเกิดขึ้น ในเนื้อพระ จะสังเกตุดูการเกิดฟอง ว่าเกิดฟองแบบใด เช่น เกิดฟองแบบเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรง หรือ ฟองแบบค่อยๆเกิดช้าๆ และสังเกตุว่ามีการเกิดฟอง เล็ก,กลาง ,ใหญ่ บนผิวพระ ฟองที่เกิดขึ้นนี้สามารถทำการวิเคราะห์เเปรผลและบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อพระสมเด็จได้ คือ
1. ฟอง CO2 เกิดขึ้นในเนื้อพระสมเด็จองค์นี้ เป็นเนื้อผงที่ทำมาจากผงปูนหินดิบ หรือจากปูนหินสุกแน่นอน ซึ่งตรงกับข้อมูลและหลักฐานการทำพระสมเด็จของท่าสมเด็จโต ไม่ใช่ทำจากปูนปลาสเตอร์ หรือ เรซิน
2. ฟอง CO2 จะบอกว่าเป็นพระสมเด็จใหม่หรือพระเก่า ได้แน่นอน
3. ฟอง CO2 จะบอกอายุพระสมเด็จได้ ว่าทันท่านสมเด็จโตสร้างปลุกเสกหรือไม่ ถ้าอายุเกิน. 146 ปีคือพระสมเด็จโตสร้างและปลุกเสก ถ้าอายุไม่ถึง พระก็ไม่ใช่( เก๊ )โดยเปรียบเทียบกับพระสมเด็จตัวอย่าง(องค์ครู)ที่เป็นแบบมาตรฐานอ้างอิง
“ วัตถุเดียวกัน อายุเท่ากัน ตัวเลข การเกิดฟอง และกายภาพต้องเหมือนกัน “
(โปรดติดตาม ตอนที่ 8 ต่อไป)
ที่มา อาจารย์ อร่าม เริงฤทธิ์ BS.Tech.Ed., M.I.Ed.(KMITL) ประธานและผู้อำนวยการ สถาบันพระแท้สมเด็จโตประเทศไทย(Thailand Genuine Somdej-Toh Amulet Institute) และเป็นรองนายกสมาพันธ์พระเครื่องไทยนานาชาติ(International Thai Amulet Confederation) โทร092-578-5155, line ID idd 5155 หรือติดตามข้อมูลได้ที่ เพจ สถาบันพระแท้สมเด็จโตประเทศไทย วันที่ 22/6/2018.